แผลเป็นมีหลากหลายรูปแบบมีทั้งแผลเป็นปกติและแผลนูน ส่วนแผลนูนนั้นก็จะมีทั้งแผลนูนธรรมดา และนูนแบบลุกลามออกนอกแผล(คีลอยด์) แผลคีลอยด์จะเกิดขึ้นหลังแผลหายไปแล้วอย่างน้อย3เดือน ไม่สามารถยุบหายไปเองได้ จัดว่าคีลอยด์เป็นเนื้องอกธรรมดาไม่เนื้อร้ายหรือมะเร็ง ไม่เกิดอันตรายต่อร่างกาย
การดูแลรักษาแผลเป็น “แผลหายเร็ว โอกาสเกิดแผลเป็นยิ่งลดลง”
มื่อเกิดบาดแผลควรดูแลความสะอาดล้างด้วยน้ำสะอาด ผิดแผลป้องกันการติดเชื้อ การรับประทานอาหารประเภทโปรตีน วิตามินซี และสังกะสี จะช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมได้ดียิ่งขึ้นด้วยแต่เมื่อเกิดแผลเป็นแล้ว การที่จะให้ผิวกลับมาเรียบเนียนได้นั้น มีดังนี้คะ
1.ให้แผลเป็นจางหายไปเอง แผลเป็นจะจางลงไปเองตามธรรมชาติ ใช้เวลา12-18เดือน
2.กลบปิดแผล อาจด้วยวิธีการใช้เครื่องสำอาง คอนซิลเลอร์ปกปิดรอยที่มีสีเดียวกับสีผิว
3.ใช้ครีมทารอยแผลเป็น อาจเป็นครีมหรือยาที่ช่วยให้รอยแผลเป็นอ่อนนุ่มไม่แข็งไม่เหมือนเดิม และทำให้มีสีจางลง ในครีมจะมีส่วนผสมของวิตามินอี ช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และวิตามินเอและวิตามินบี3ช่วยลดความเข้มของสีผิว นอกจากนั้นในบางตัวอาจมีส่วนผสมของ Mucopolysaccharides ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดใต้ผิว ทำให้แผลยุบเร็ว ก่อนเลือกครีมหรือยาทารอยแผลเป็นควรปรึกษาแพทย์และเภสัชก่อนเพื่อให้เหมาะกับชนิดแผลและเพื่อป้องกันอาการแพ้
4.การฉีดฟิลเลอร์ เมื่อรอยแผลบุ๋มลงไปจากผิวเดิม การใช้ฟิลเลอร์ที่เป็นสารสกัด Hyaluronic acidจะช่วยเติมเต็มรอยบุ๋มให้กลับมาเต่งตึงเท่าผิวเดิมได้ ฟิลเลอร์จะอยู่ได้นาน6-8เดือนขึ้นอยู่กับบุคคล จากนั้นจะค่อยๆสลายไปเองตามธรรมชาติ
5. การฉีดสารเพื่อลดรอยแผลเป็น การใช้ยาหรือสารเช่น Bleomycin หรือยาที่มีส่วนผสมของSteroid ออกฤทธิ์ลดขนากที่กว่างใหญ่นูนของแผลให้เล็กและนุ่มลงได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับแพทย์ในการพิจารณาปริมาณที่ใช้ตามขนาดของแผล
6. การทำเลเซอร์ ใช้พลังงานเลเซอร์ส่งไปยังชั้นผิวหนังทำลายเนื้อเยื่อรอยแผลที่นูนให้เรียบยิ่งขึ้น เช่น เลเซอร์Fine scan หากได้รับการทำเลเซอร์อย่างต่อเนื่องแผลอาจมีขนาดเล็กลงและเรียบได้
7. การผ่าตัด ในกรณีที่เกิดแผลมานานแล้ว เพื่อจัดรูปทรงและตำแหน่งของแผลให้ดีขึ้น ตัดส่วนที่เป็นแผลนูนออก กรณีแผลอาจกว้างมากกว่าเดิมได้
Credit : MEDTHAI
